วันจันทร์ที่ 2 เมษายน พ.ศ. 2555

เมนูอาหารเกาหลีขึ้นชื่อ



ในกรุงเทพฯ ของเรามีร้านอาหารเกาหลีมากมาย ที่มีเมนูอาหารเกาหลี รสชาติเด็ดๆ อร่อยๆ ที่คอยเรียกน้ำย่อยให้กับคนคอเกาหลี ซึ่งอาหารเกาหลีจะมีเมนูค่อนข้างหลากหลายแตกต่างชนิดกันไป แต่ที่เราที่รู้จักกันก็อาจมีเพียงไม่กี่เมนู จึบขอแนะนำเมนูยอดฮิต 12 เมนู เพื่อเป็นทางเลือกให้กับคนคอเกาหลีได้รู้จักกัน ดังนี้
1. กิมจิ

 
2.คาลบี ต้นตำหรับอาหารเลื่องชื่อของประเทศเกาหลี


โครงหมูย่างที่หมักจนได้ที่ แล้วนำมาย่างบนเตาถ่านร้อนๆ ให้สุกกำลังดี รับประทานกับซอสเกาหลี กระเทียม กิมจิ และใช้ใบผักกาดหอมหรือใบงา ห่อเป็นคำๆคล้ายเมี่ยงคำ

3.ทัคคาลบี Takkalbi เป็นอาหารขึ้นชื่อของเมืองชุนชอน


เนื้อไก่ที่หั่นออกมาเป็นชิ้น คลุกเคล้าด้วยเครื่องปรุงและหมักไว้จนได้ที่ เมื่อรับประทานจะนำมาผัดบนกระทะ พร้อมด้วย Rice cake หรือเส้นก๋วยเตี๋ยวแบบหนานุ่มผัดให้เข้ากัน และสุดท้ายเอาข้าวมาผัดทานเป็นข้าวผัดได้อีกด้วย แกล้มด้วยสาหร่าย โอเด้ง (เนื้อปลาผสมแป้ง) กิมจิ พร้อมข้าวสวยร้อนๆ 

4.ชาบู ชาบู sha-bu sha-bu


สุกี้สไตล์เกาหลีบนหม้อไฟร้อน ๆ ประกอบด้วยหมูสไลซ์ ผักบำรุงสุขภาพ เห็ดต่างๆ น้ำซุปร้อนๆ และเส้นอุด้งซึ่งขาดไม่ได้ในการทานชาบู พร้อมข้าวสวย น้ำจิ้มซีอิ๊วเกาหลี และเครื่องเคียงต่างๆ

5.บิบิมบัพ Bibimbup 


ข้าวผัดแบบเกาหลีเป็นหม้อหิน ข้าวสวยเกาหลีในหม้อหินร้อนๆ สาหร่ายทะเล ไข่ดาว ต้นหอม แครอท ถั่วงอก เห็ด คลุกเคล้าให้เข้ากันกับซอสพริเกาหลี กลิ่นหอมของข้าวที่ระอุในหม้อหิน 

6.พูเดจิเก


คล้ายแกงส้ม ประกอบด้วยหมู ไส้กรอก ผักบำรุงสุขภาพต่างๆ เส้นมาม่าหรือเส้นอุด้งซึ่งขาดไม่ได้ นำไปต้มให้เดือด แล้วใส่ซอสพริกเกาหลี 

7.บุลโกกิ 


หมูหมักจนได้ที่แล้วนำมาใส่บนกระทะ ผัดกับกระหล่ำปลีและวุ้นเส้นของเกาหลี มีน้ำขลุกขลิกออกรสหวานเล็กน้อย เสิร์ฟพร้อมด้วยข้าวสวย และเครื่องเคียงต่างๆ 

8.บาร์บีคิวเกาหลี


หมูที่ผ่านการหมักด้วยซีอิ๊วและเครื่องปรุงจนได้ที่ แล้วนำมาย่างบนเตาถ่านร้อนๆ รับประทานกับผักกาดหอม กระหล่ำปลี ซอสเกาหลี กระเทียม กิมจิ เกาหลี มีน้ำขลุกขลิกออกรสหวานเล็กน้อย เสิร์ฟพร้อมด้วยข้าวสวย น้ำซุปสาหร่าย และเครื่องเคียงต่างๆ 

9.ซัมเคทัง หรือไก่ตุ๋นโสม


ตำรับชาววังไว้บำรุงสุขภาพ ใช้ไก่ที่อายุพอเหมาะกับการรับประทาน (อายุ 45 วัน) ท่านละ 1 ตัว ก่อนอื่นให้ล้างเครื่องในออกให้หมดแล้วยัดไส้ด้วยของบำรุง อาทิเช่น เม็ดพุทราแห้ง รากโสมเกาหลี เก๋ากี้ รับประทานพร้อมกับข้าวซึ่งใส่อยู่ภายในตัวไก่ และเสริมรสชาติด้วยเส้นอุด้ง ปรุงรสด้วยพริกไทย และเกลือป่นของเกาหลี เสิร์ฟพร้อม Ginseng wine เป็นโซจูดองโสมเพื่อบำรุงร่างกายให้คึกคักกระปรี้กระเปร่า

10.จับเช



เป็นอาหารที่คนเกาหลีชอบโดยนำผักที่ชอบหรือที่มีตามฤดูกาลมาผัดรวมกันโดยใส่ น้ำมันเล็กน้อย แล้วใส่เนื้อวัวที่หั่นชิ้นเต็มคำ และนำไปผัดกับวุ้นเส้นเกาหลี เมื่อเส้นและส่วนผสมผัดจนสุกดีแล้ว จึงนำมาคลุกเคล้าเพิ่มรสชาติด้วยซอสถั่วเหลือง น้ำตาล และน้ำมันงา 

11.ต็อกกุก



ซุปต็อกเป็นที่นิยมรับประทานกันในฤดูใบไม้ร่วงถึงฤดูหนาว ซึ่งทำมาจากข้าวจะนำมาต้มรวมกับน้ำซุปกระดูกวัว

12.โสม



พืชสมุนไพร ราชาแห่งสมุนไพรโบราณที่มีราคาแพงที่สุด รู้จักกันเป็นอย่างดีในประเทศจีนและเกาหลี ชาวเกาหลีโบราณเชื่อกันว่า มันเป็นสิ่งที่ช่วยเพิ่มพลังทางเพศและความสามารถในการสืบลูกหลานรวมทั้งช่วย ทำให้มีชีวิตยืนยาว และช่วยเพิ่มความแข็งแกร่งคงทนของร่างกาย อีกด้วย


แหล่งข้อมูลอ้างอิง
http://www.jpopkpop-music.com/travel/?p=135
http://www.kooru.com/shoping/shoping-article-news.php?Art_ID=85

ทำกิมจิง่ายๆด้วยตัวคุณเอง


ครั้งนี้ผมจะนำเสนอวิธีการทำกิมจิกันแบบง่ายๆ 

เริ่มกันเลยครับ 



 ทำ กิ ม จิ ง่ า ย ๆ ด้ ว ย ตั ว คุ ณ เ อ ง



1.ผักกาดขาว ให้ตัดครึ่งก่อนครับ แล้วในครึ่งท่อนนั้น ตัดที่ฐานประมาณ 1 นิ้ว แล้วใช้มือแยกให้ออกเป็น 2 ท่อน เราก็จะได้ผักที่ดูสวยน่าทาน(ดูตัวอย่างรูปกลางด้านบน)






 ทำ กิ ม จิ ง่ า ย ๆ ด้ ว ย ตั ว คุ ณ เ อ ง

2.เกลือ ใส่เกลือเม็ดในน้ำ ให้พอเหมาะพอให้น้ำมีรสเค็ม

 ให้สังเกตสีของภาชนะ

ภาชนะสีขาว คือน้ำเกลือ ให้นำผักทั้ง 4 ชิ้นมาล้างในน้ำเกลือ ล้างให้ทุกซอกทุกมุม แล้วเอาไปพักไว้ในภาชนะสีฟ้า

เมื่อล้างผักหมดแล้ว ให้เทน้ำเกลือใส่ภาชนะสีฟ้าพอประมาณ

ใช้ของหนักกดทับไว้ ทิ้งไว้สัก 2 ชั่วโมงแล้วจึงพลิกผัก

จากนั้นก็ทิ้งไว้อีกสัก 2-3 ชั่วโมง หรือ 4 ชั่วโมง หรือ ค้างคืนไว้ยิ่งดี (แต่อาจจะไม่จำเป็น เพราะปริมาณน้อยมาก)



ขั้นตอนต่อไป วิธีทำส่วนประกอบต่าง ๆ


3.ทำน้ำแป้งเปียก



 ทำ กิ ม จิ ง่ า ย ๆ ด้ ว ย ตั ว คุ ณ เ อ ง

1 ละลายแป้ง plain flour ในน้ำพอประมาณดังรูป คน ๆ ให้เข้ากัน อย่าให้เหลวเป็นน้ำจนเกินไป

2 ต้มน้ำให้เดือด ไฟแรง แล้วใส่แป้งลงไป จากนั้นก็ลดไฟให้ต่ำลง

3 ใช้ที่ตีไข่กวน ๆ แล้วใส่น้ำตาล 3 ชช.

4 ไฟแรงอีกทีให้เดือดปุด ๆ แป๊บเดียว เป็นอันเสร็จ

5 เอาไปวางไว้ข้างนอกหรือในที่ ๆ อากาศถ่ายเทสะดวก มันจะเย็นลงแล้วมีลักษณะเหมือนแป้งเปียก

ทิ้งไว้ข้างนอก จนกว่าจะถึงเวลาทาผัก

4.เตรียมผักอื่น ๆ 



 ทำ กิ ม จิ ง่ า ย ๆ ด้ ว ย ตั ว คุ ณ เ อ ง



  ทำ กิ ม จิ ง่ า ย ๆ ด้ ว ย ตั ว คุ ณ เ อ ง

1 หั่นแครอทฝอย

2 หั่นหัวผักกาดขาวฝอย

3 ผักพูชู่ ที่มีลักษณะเหมือนต้นหญ้า หั่นตามรูป หรือ หั่นยาว 1 นิ้วก็ได้ แล้วแต่ครับ

4 พริกชี้ฟ้า ใช้ 1 ดอกสีแดงเป็นพอ หั่นฝอย (เอาเมล็ดออกให้เรียบร้อย)

5 ขิงปริมาณตามรูป(บน)  นำมาตำให้ละเอียด



 ทำ กิ ม จิ ง่ า ย ๆ ด้ ว ย ตั ว คุ ณ เ อ ง

และ  6 ตำกระเทียมให้เรียบร้อยเช่นกัน (จะใช้กระเทียมที่ตำแล้วประมาณ 1 1/2 ชต. กระมัง )





 ทำ กิ ม จิ ง่ า ย ๆ ด้ ว ย ตั ว คุ ณ เ อ ง

ปัญหาอยู่ตรงนี้ กุ้งดองตัวเล็ก ๆ ต้องซื้อที่ร้านของชำเกาหลี อย่างไรก็ตาม ไม่ต้องกังวล หากไม่มี เราก็ยังมีน้ำปลาไทยของเราอยู่ ข้ามขั้นตอนนี้ไปได้

หากมี ก็เอาน้ำกุ้งดองนิดหน่อย และสับ ๆ กุ้งดองให้ละเอียดดังรูป




 ทำ กิ ม จิ ง่ า ย ๆ ด้ ว ย ตั ว คุ ณ เ อ ง

5.พริกป่นผสม (พริกป่นเกาหลี)
เทใส่ภาชะปริมาณในรูป (พริกป่นเกาหลีจะไม่เผ็ดเท่าพริกป่นไทย แต่จะแดงแรงฤทธิ์กว่า หากใส่พริกป่นไทย กะไม่ถูกจริง ๆ เผ็ดเกินไป)

ใส่น้ำเล็กน้อยพอให้พริกจับ ๆ เป็นก้อน ๆ แต่ไม่ให้เหลว

ใส่น้ำปลา 1 ชต. น้ำปลาตราปลาหมึกของไทยเรา




 ทำ กิ ม จิ ง่ า ย ๆ ด้ ว ย ตั ว คุ ณ เ อ ง

เป็นอันเสร็จ

ผักกาดแช่เกลือทับอยู่, ผักอื่น ๆ หั่นแล้ว , กุ้งดอง , ขิงและกระเทียมสับ , พริกป่นผสมแล้ว และน้ำปลาแท้ตราปลาหมึก ~

หลังจากผักกาดที่ทับไว้พร้อมแล้ว ก็ถึงเวลาทาผัก

(เวลาผ่านไปครึ่งค่อนวันเลยทีเดียว)


 ทำ กิ ม จิ ง่ า ย ๆ ด้ ว ย ตั ว คุ ณ เ อ ง

นำผักกาดขาวทีทับไว้หลายชั่วโมงมาล้างให้สะอาด (สังเกตว่าผักจะนิ่ม ๆ ไม่กรอบแล้ว)

ล้างแล้วตาก ๆ ไว้ซักพัก

พอจะนำมาใช้ ก็บีบให้สะเด็ดน้ำอีกที (สังเกตว่าทั้งบิด ทั้งบีบ ผักก็ไม่แตก)




 ทำ กิ ม จิ ง่ า ย ๆ ด้ ว ย ตั ว คุ ณ เ อ ง

พริกป่นที่ผสมแล้วข้างต้น เตรียมนำมาใช้

เตรียมชามอ่างผสม เทพริกป่นที่ผสมแล้วลงไปในอ่างผสม

เอาหัวผักกาดขาวหั่นฝอยลงผสมก่อนเพื่อหัวผักกาดจะได้เปลี่ยนจากสีขาวเป็นสีแดง

จากนั้นก็เอาผักทุกอย่างลงผสม

ผสมกุ้งดอง เอาแป้งเปียกลงผสม น้ำปลา 2 อุ้งมือ

น้ำตาล 3 ชต. (ช้อนทานข้าวนี่หล่ะค่ะ)

เป็นอันเสร็จ 

แล้วจึงนำผักกาดขาวที่บิดแห้งสะเด็ดน้ำแล้วแล้วมาเตรียมทาเลย  (รูปสุดท้าย)



 ทำ กิ ม จิ ง่ า ย ๆ ด้ ว ย ตั ว คุ ณ เ อ ง

ในขั้นตอนนี้ คนเกาหลีจะเอาเมล็ดงาทอดพอให้หอมและเป็นสีน้ำตาล เอาผักที่เพิ่งทา (ซึ่งเป็นกิมจิแล้วนั่นเอง) มาจุ่มงาแล้วกินสด ๆ

การกินกิมจิสด ๆ หลังทำเสร็จแบบนี้ ถือเป็นอีกกิจกรรมที่ควรทำ และก็เป็นดินเนอร์มื้อเย็นในคืนนั้นได้เลย

ที่เหลือก็นำใส่ภาชนะ ปิดฝาให้เรียบร้อย เก็บใส่ตู้เย็น

จะทานเลยหรือทิ้งไว้ซัก 2-3 วันก็แล้วแต่




 ทำ กิ ม จิ ง่ า ย ๆ ด้ ว ย ตั ว คุ ณ เ อ ง


การเก็บรักษากิมจิ ไม่ว่าจะเป็นอันที่เพิ่งทำ หรือ อันที่ทานอยู่ทุกมื้อ ภาชนะไม่ควรใหญ่เกินกว่าปริมาณกิมจิ (ในรูปด้านบน ต้องใส่กิมจิให้เต็มภาชนะ) ไม่ควรให้อากาศเข้าไปข้างใน

ดังนั้น หากทานกิมจิเสร็จแล้ว วิธีการเก็บให้อร่อยจึงควรใส่ภาชนะเล็กใหญ่ตามปริมาณกิมจิที่เหลือ

***ต้องขอคุณแหล่งที่มาของข้อมูลจากเว็บไซด์
http://www.oknation.net/blog/thaithai/2009/01/26/entry-1
http://www.pantown.com/board.php?id=22691&area=4&name=board10&topic=61&action=view
http://mytoonhua.diaryclub.com/20070122/%B7%D3-%A1%D4-%C1-%A8%D4-%A7%E8-%D2-%C2-%E6-%B4%E9-%C7-%C2-%B5%D1-%C7-%A4%D8-%B3-%E0-%CD-%A7
http://face2cu.blogspot.com/2011/03/blog-post_31.html 

ที่ให้ผมได้รวมรวมวิธีการทำแบบง่ายๆ และทำทำเราได้ส่งต่อเมนูการทำกิมจิ
ที่สะดวกและเข้าใจง่ายในวิธีการทำมากขึ้นครับ !

วันพฤหัสบดีที่ 29 มีนาคม พ.ศ. 2555

Kimchi Nutrition

 คุณค่าทางอาหารของ กิมจิ !   


     กิมจิที่ผ่านการดองอย่างดีจะมี แอนตี้ไบโอติก ( Anti-Biotic ) ซึ่งแบคทีเรียกรดแลคติก ( Lactic Acid Bacteria ) ที่เกิดจากการดองกิมจิจะช่วยยับยั้งแบคทีเรียที่ไม่ให้เติบโตขึ้นภายในลำไส้ และกรดแลคติกมีหน้าที่ป้องกันโรคภัยต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นโรคเบาหวาน โรคอ้วน หรือแม้แต่มะเร็งในกระเพราะอย่างที่เราทราบกันมาบ้างแล้ว แบคทีเรียตัวนี้ยังทำให้กิมจิมีรสเปรี้ยว
     ส่วนผสมส่วนใหญ่ในกิมจิจะมีแคลลอรี่และปริมาณน้ำตาลต่ำ แต่กากใยอาหาร หรือวิตามินต่าง ๆ เช่นวิตามิน A กับ C และ แร่ธาตุ อย่างเช่นแคลเซียมและธาตุเหล็ก จะมีอยู่มาก เพราะฉะนั้นเราสามารถกินได้โดยไม่รบกวนในเรื่องของน้ำหนัก และยังดีต่อสุขภาพของเราอีกด้วย กาก ใยในผักกาดขาวนั้นที่เป็นส่วนประกอบของการทำกิมจิไม่ใช่สารอาหารที่บำรุงเลี้ยง แต่ก็ช่วยในเรื่องของการขับถ่ายได้ แต่จะช่วยในการช่วยให้อาหารย่อยผ่าน สำไส้ได้ง่ายขึ้นอีกด้วย

แบคทีเรียกรดแลคติก  ( Lactic Acid Bacteria )
แลคติกแบคทีเรียที่ก่อตัวในกิมจิมีประโยชน์มาก ๆ เพราะช่วยดูแลเรื่องลำไส้และมีหน้าที่ป้องกันเชื้อโรคได้อีกด้วย

กรดอเซทิก ( Acetic Acid )
กรด อเซทิกในกิมจิจะเกิดขึ้นต่างไปจากกรดแลคติก เพราะส่วนผสมและวัสดุที่ใช้ในการทำกิมจิต่างกัน อย่างเช่นระดับของเกลือที่ใช้ หรืออุณหภูมิและระยะเวลาในการดอง 

กรดอามีโน ( Amino Acids )
กรด อเซทิกไม่ได้เป็นส่วนสำคัญอย่างเดียวในการเพิ่มรสชาดิให้กับกิมจิ แต่ยังมีก๊าซคาร์บอน เครื่องปรุงรส และ กรดอามีโนนี่ ที่เป็นตัวช่วย กรดอามีโนนั้นจะเกิดขึ้นจากการแตดตัวของโปรตีนในน้ำพริกปลาดอง ( Pickled Fish Paste ) และหอยนางรมที่ใส่ลงไปในกิมจิ

วิตามิน ( Vitamins )
ในกิมจิมีวิตามินบี และวิตามินซีอยู่สูงมากเลยทีเดียว และยังร่วมไปถึงแบต้าแคโรทีน ( Beta Carotene ) อีกด้วย หลังจากการดองกิมจิไปเป็นเวลา 3 อาทิตย์ ระดับของวิตามินบี 1 วิตามินบี 2 และวิตามินบี 12 ก็จะเพิ่มถึงเป็น 2 เท่าตัวเลยทีเดียว


แหล่งข้อมูลอ้างอิง
http://th.hicow.com/%E0%B9%80%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%AB%E0%B8%A5-%E0%B9%83%E0%B8%95/%E0%B9%80%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%AB%E0%B8%A5/%E0%B8%9C-%E0%B8%81%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%94%E0%B8%82%E0%B8%B2%E0%B8%A7%E0%B8%9B%E0%B8%A5-267658.html
http://sites.google.com/site/sirinyareuxngchay/pra
http://www.oknation.net/blog/print.php?id=342241

วันพุธที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2555

กิมจิ กับเรื่องของสุขภาพ


          กิมจิผักดองที่ขึ้นชื่อของประเทศเกาหลีนั้นได้ถูกจัดให้เป็นหนึ่งใน 5 อาหารสุขภาพโดยเฮลท์แม็กกาซีน (Health Magazine) โดยให้เหตุผลที่ว่าผักดองอย่างกิมจินั้นอุดมด้วยวิตามินและสารอาหาที่ช่วยในการย่อยอาหาร และอาจจะช่วยรักษาโรคมะเร็งได้อีกด้วย ซึ่ง สรรพคุณของกิมจิได้มาจากหลายปัจจัยมากมายหลายอย่างเพราะว่ากิมจิทำมาจากผักกาดขาว หัวหอม และกระเทียม ที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพ และยังมีโปรไบโอติกส์แลคโตแบซิลลัส ที่ให้กรดแลคติก หลังจากการหมักเหมือนในโยเกิร์ตด้วย อีกทั้งกิมจิยังมีพริกแดงที่เป็นส่วนผสมหลักมีประโยชน์ต่อสุขภาพเช่นเดียวกัน

          และในขณะเดียวกันกิมจิก็อาจก่อให้เกิดโทษได้เช่นกันถ้าเราบริโภคมากๆ มีผลต่อความเสี่ยงในการเกิดมะเร็งในกระเพาะอาหารได้ เมื่อเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2548 นักวิจัยชาวเกาหลีใต้เปิดเผยว่ามีความเสี่ยงถึงร้อยละ 50 ที่อาจจะเป็นเหตุให้เกิดมะเร็งในกระเพาะ แต่ในการศึกษาบางชิ้นนั้น อ้างว่าการบริโภคกิมจิมีส่วนช่วยในการลดการเกิดมะเร็งในกระเพาะอาหารอร่างไรก็ตามยังมีการศึกษาบางชิ้นอีกเช่นกันที่อ้างว่ากิมจิ (ที่มีส่วนผสมเป็นหัวผักกาด) จะเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดมะเร็ง และการบริโภคกิมจิเป็นจำนวนมาก ก็จะเป็นได้รับเกลือหรือน้ำปลาที่ใช้ในการหมักและปรุงรสเป็นจำนวนมาก ซึ่งอาจจะทำให้เกิดปัญหาทางสุขภาพขึ้นได้เช่นโรคความดันโลหิตสูง

 

 

 

แหล่งข้อมูลอ้างอิง

http://www.thaieditorial.com/%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%82%E0%B8%A2%E0%B8%8A%E0%B8%99%E0%B9%8C%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%B4%E0%B8%A1%E0%B8%88%E0%B8%B4-%E0%B8%AD%E0%B8%B2%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%82/

http://sites.google.com/site/sirinyareuxngchay/pra

http://www.mykoreabuddy.com/tc/135

 

 

 

ความเป็นมาของอาหารเกาหลี



          ประเทศเกาหลีเป็นประเทศเกษตรกรรม และชาวเกาหลีทำอาชีพเพาะปลูกข้าว หรือมีการทานข้าวเป็นอาหารหลักเช่นเดียวกับประเทศไทยของเรามาตั้งแต่ในสมัยโบราณสืบทอดกันมา ในปัจจุบันอาหารเกาหลีจะเป็นตำหรับที่ประกอบไปด้วย เนื้อสัตว์ ปลา พืช และผักต่างๆมากมาย และนำมาทำเป็นอาหารหมักดองมากมายจนอาหารขึ้นชื่อที่ดังที่สุด และเป็นเอกลักษณ์ของอาหารเกาหลีเลยก็คือ กิมจิ

จุดเริ่มต้นของกิมจิ

          ชื่อกันว่าการทำกิมจินั้นเป็นการดองผักได้มีการเริ่มทำขึ้นในสมัย ศตวรรษที่ 7 ในยุคสมัยนั้นช่วงฤดูหนาวของประเทศเกาหลี จะมีอากาศหนาวจัดมากและไม่เหมาะกับการเพาะปลูก ชาวเกาหลีในยุดนั้นจึงคิดวิธีการถนอมอาหารขึ้น เพื่อแทนผักสดที่หาทานได้ยาก และหนึ่งในนั้นคือการทำผักดองเค็มด้วยเกลือหมักในไหแล้วนำไปฝังดิน จึงถือว่าเป็นจุดกำเนิดของกิมจิในยุคสมัยต่อมาจนปัจจุบัน

          ในปัจจุบัน  การทานกิมจิเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ไปแล้วสำหรับคนเกาหลี เวลาที่คนเกาหลีเดินทางไปต่างประเทศต่างแดนจึงไม่ลืมที่จะพกกิมจิของตนเองติดตัวไปพร้อมกับการเดินทางไปด้วย กิมจิจึงได้เริ่มมีการแพร่หลายในวงกว้างและรู้จักถึงคนในประเทศอื่นๆโดยช่วงแรกเริ่มเข้าไปในประเทศใกล้เคียงก่อนคือ ประเทศจีน รัสเซีย รัฐฮาวาย และญี่ปุ่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเทศญี่ปุ่น ถือได้ว่าเป็นชาติแรกที่นำกิมจิเป็นเครื่องเคียงในอาหารของชาติตนเอง โดยเรียกกิมจิของตนเองว่า คิมุชิ (Kimuchi) เพื่อให้เข้ากับการออกเสียงในภาษาญี่ปุ่น ต่อมากิมจิจึงเริ่มเป็นที่นิยมขึ้นเรื่อยๆ ในหมู่ชาวต่างชาติในหลายประเทศ เช่นสหรัฐอเมริกา จีน ญี่ปุ่น และประเทศไทยของเราด้วยนั่นเอง

 

แหล่งข้อมูลอ้างอิง

http://th.wikipedia.org/wiki/กิมจิ